

กระดานออกแบบที่เป็นที่ใช้สำหรับสร้างสรรค์ผลงานนั้น เราสามารถกำหนดขนาดและรายละเอียดของพื้นที่กระดานออกแบบให้ตรงต่อความต้องการ เพื่อให้เกิดความสะดวกกับการออกแบบ ซึ่งสามารถกำหนดได้จากไดอะล็อกซ์บล็อกซ์ New ดังขั้นตอนต่อไปนี้
1. คลิกเลือกเมนูคำสั่ง File เลือกคำสั่ง New หรือกดแป้นพิมพ์ Ctrl + N จะปรากฏไดอะล็อกซ์บ็อกซ์ New

2. เลือกวิธีการสร้างหรือกำหนดขนาดของกระดานออกแบบ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นแบบ Custom (ซึ่งเป็นแบบที่สามารถกำหนดได้ตามความต้องการของตนเอง)
3. กำหนดขนาดความกว้างและความสูงของกระดานออกแบบออปชั่น Width และ Height รวมทั้งออปชั่นอื่น ๆ ซึ่งมีหน่วยเป็นค่าพิกเซล (Pixel) สำหรับ Color Mode นั้นปกติเป็น แบบ 8 Bit แต่สามารถกำหนดให้สูงกว่านี้เช่น 16 Bit ดังนี้
 Width กำหนดความกว้างของกระดานออกแบบ
 Height กำหนดความสูงของกระดานออกแบบ
 Resolution กำหนดความละเอียดของภาพ ซึ่งหากกำหนดค่ายิ่งมากจะทำให้เกิดความละเอียด สูงขึ้น แต่ก็จะทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ตามไปด้วย นอกจากนั้นยังต้องกำหนดด้วย ว่าจะให้ค่าพิกเซลต่อขนาดใด เช่น Pixel / Inch คือ กำหนดความละเอียด 300 ค่าพิกเซลต่อนิ้ว
 Color Mode กำหนดโหมดสีภาพเพื่อใช้ในการสร้างกระดานออกแบบ

ไดอะล็อกซ์บล็อกซ์ของคำสั่ง New ซึ่งสามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ในการสร้างงานใหม่
4. เลือกลักษณะฉากหลังของกระดานออกแบบว่าจะให้สร้างในรูปแบบใด ได้แก่
 White กำหนดให้ฉากหลังเป็นสีขาว
 Background Color กำหนดสีฉากหลังที่สร้างขึ้นมาให้เป็นสีเดียวกับสีที่กำหนดไว้ใน Background Color ภายในกล่องเครื่องมือ
 Transparent กำหนดให้ฉากหลังเป็นแบบโปร่งใส
การเปิดไฟล์รูปภาพขึ้นมาใช้งานด้วยคำสั่ง Open
รูปภาพที่สามารถนำเข้ามาใช้งานในโปรแกรม Photoshop ได้นั้น สามารถทำได้หลากหลายวิธี โดยไฟล์รูปภาพมีหลายประเภท และมีความเหมาะสม แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามวิธีการเปิดไฟล์ รูปภาพเหล่านี้สามารถกระทำได้ด้วยวิธีการเดียวกันคือ
1. คลิกเมนูคำสั่ง File เลือกคำสั่ง Open หรือกดแป้นคีย์บอร์ด Ctrl + O ซึ่งจะปรากฏไดอะล็อกซ์บล็อกซ์ Open ต่อจากนั้นให้คลิกเลือกไดร์ฟและโฟลเดอร์ที่จัดเก็บรูปภาพที่ต้องการนำมาใช้สร้างรูปภาพตามที่เราต้องการ

2. กำหนดประเภทไฟล์ของรูปภาพ (นามสกุลของไฟล์รูปภาพ) ที่ต้องการเปิด ดังรายละเอียด ต่อไปนี้
 . PSD เป็นไฟล์มาตรฐานที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรม Photoshop สามารถเปิดไฟล์ที่สร้าง ขึ้นด้วยเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ได้ด้วย โดยไฟล์ .PSD จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้ จากโปรแกรมอื่น ๆ
 . BMP เป็นไฟล์มาตรฐานของระบบปฏิบัติการโปรแกรม Windows
 . TIFF เป็นไฟล์ที่สามารถใช้ได้ทั้งเครื่อง PC และ Macintosh ซึ่งส่วนใหญ่ใช้งาน โปรแกรมเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ เช่น โปรแกรม Page Maker
 . GIF เป็นไฟล์ที่ใช้กันมากในการสร้างเว็บไซต์ เพราะไฟล์มีขนาดไม่ใหญ่ ง่ายต่อการ บีบอัดข้อมูลอีกทั้งไฟล์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะสามารถเคลื่อนไหวได้สร้างขึ้นจาก โปรแกรมกราฟิกและอนิเมชั่น เช่น โปรแกรม ImageReady
 . JPEG เป็นไฟล์ที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพราะมีขนาดเล็กง่ายต่อการบีบอัด สามารถสร้างขึ้นได้จากโปรแกรมกราฟิกทั่ว ๆ ไป
 . PCT เป็นไฟล์ที่ใช้กันบนเครื่อง Macintosh เท่านั้นและมีขนาดของไฟล์ค่อนข้างใหญ่มาก
 . RAW เป็นไฟล์ที่สามารถยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานใน ระหว่าง Application หรือ ต่างเครื่องคอมพิวเตอร์
 . PNG เป็นไฟล์ที่พัฒนาต่อจาก Gif ซึ่งมีข้อดี คือจะเกิดความสูญเสียน้อยมากหากมีการ บีบอัดข้อมูลทำให้มีความเหมาะสมในการโอนถ่ายข้อมูลบนระบบเครือข่าย Internet

3. นำเมาส์ไปคลิกเลือกไฟล์รูปที่ต้องการ จากนั้นคลิกที่ปุ่ม Open เพื่อเปิดรูปภาพที่ต้องการใช้งาน ซึ่งจะปรากฏภาพบนโปรแกรม Photoshop ทันที ดังรูป

การเปิดไฟล์รูปภาพขึ้นมาใช้งานด้วยคำสั่ง Adobe Bridge
Adobe Bridge เป็นฟังก์ชั่นที่ช่วยให้เราเลือกเปิดไฟล์ไปใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยภายในหน้าจอจะแสดงภาพตัวอย่างของไฟล์ทั้งหมด และสามารถค้นหาไฟล์จากไดร์ฟต่าง ๆ ได้เหมือนกับการดูไฟล์ใน Explorer ของ Windows โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. เลือกคำสั่ง File เลือกคำสั่ง Browse (หรือกดแป้น Shift+Ctrl+O) เพื่อเข้าสู่หน้าจอ Adobe Bridge

2. จากนั้นจะแสดงหน้าจอสำหรับการค้นหาภาพซึ่งจะเป็นการค้นหาแบบ Adobe Bridge

3. ภายในโปรแกรมจะปรากฏรูปภาพ ซึ่งเป็นการ Preview รูปภาพให้เราดูตัวอย่างย่อๆ ได้ หากต้องการรูปภาพใดที่จะเปิดใช้งานบนโปรแกรม Photoshop ให้เราดับเบิ้ลคลิกที่รูปภาพนั้น หรือถ้าหากต้องการค้นหารูปภาพในที่เก็บอื่นๆ ก็สามารถคลิกเลือกที่อยู่ของรูปภาพนั้นจาก คำสั่ง Favorite / Folder หรือ บริเวณ Address bar เพื่อค้นหาที่อยู่ของรูปภาพได้ตามต้องการ

การเปิดไฟล์รูปภาพขึ้นมาใช้งานด้วยคำสั่ง Open Recent
การใช้คำสั่งนี้มีประโยชน์ในการเปิดใช้งานไฟล์ที่เปิดใช้งานแล้วในโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว โดยโปรแกรมจะสามารถเก็บไฟล์ที่เปิดใช้งานแล้วไว้ 10 ไฟล์ล่าสุด ซึ่งผู้เรียนสามารถใช้คำสั่งเพื่อเรียกไฟล์ที่ต้องการใช้งานอีกครั้งโดยไม่ต้องทำการค้นหารูปภาพในที่อยู่เดิมใหม่ มีขั้นตอนการใช้งานดังนี้
1. คลิกเมาส์เลือกคำสั่ง File เลือกคำสั่ง Open Recent จะปรากฏชื่อไฟล์ที่เปิดใช้งานแล้วในโปรแกรม Photoshop เป็นจำนวน 10 ไฟล์

2. ให้ผู้เรียนคลิกเมาส์ที่ชื่อไฟล์ที่ต้องการใช้งานอีกครั้งหนึ่ง จะปรากฏรูปภาพที่ต้องการเปิดขึ้นมาในโปรแกรมทันที

ซึ่งการเก็บไฟล์ในคำสั่งนี้จะเก็บไฟล์ล่าสุดไว้ที่ไฟล์ที่ 1 เสมอ และเมื่อมีการเปิดไฟล์ใหม่ไฟล์ที่เปิดใช้งานใหม่ก็จะกลายเป็นไฟล์ที่ 1 และไฟล์ที่ 1 เดิมก็จะเป็นไฟล์ที่ 2 ไปเรื่อย ๆ จนถึงไฟล์ที่ 10
การจัดเก็บไฟล์ด้วยคำสั่ง Save
หลังจากที่เราทำงานกับรูปภาพต่าง ๆ แล้วสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงานในทุกโปรแกรมก็คือการบันทึก ในโปรแกรม Photoshop CS5 สามารถบันทึกไฟล์ได้หลากหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับงานในแต่ละชนิด ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. เลือกเมนูคำสั่ง File เลือก Save จะปรากฏไดอะล๊อกซ์บล็อกซ์ของการบันทึก จากนั้นให้เลือกไดร์ฟและโฟลเดอร์ สำหรับการจัดเก็บ
2. กำหนดประเภทนามสกุลของไฟล์รูปภาพให้เหมาะสมกับรูปแบบของงานที่จะใช้
3. พิมพ์ชื่อไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บในช่อง File name
4. กำหนดค่าออปชั่นเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการจัดเก็บรูปภาพให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้
 As a Copy บันทึกไฟล์ปัจจุบันเป็นไฟล์สำเนาซึ่งจะมีคำว่า Copy ต่อท้าย
 Alpha Channels ให้บันทึกแชลแนลพิเศษ (Alpha Channel) ของรูปภาพด้วย
 Annotation ให้บันทึกหมายเหตุที่เป็นข้อความหรือเป็นเสียง
 Spot Colors ให้บันทึกแชลแนลพิเศษแบบ Spot Chanel
 Layers ให้บันทึกลักษณะการจัดเลเยอร์ของรูปภาพ
 Use Proof Setup แปลงสีรูปภาพให้ตรงกับผลที่จะได้รับจากการใช้พิมพ์รูปภาพ ICC
 Profiles ให้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับระบบสีที่ใช้กับรูปภาพผสานลงไปใน ไฟล์รูปภาพที่จัดเก็บด้วย
 Thumbnail จัดเก็บภาพตัวอย่างขนาดเล็ก ซึ่งจะถูกจัดเก็บรวมไว้ในไฟล์เพื่อ สะดวกต่อการค้นหา หรือ เรียกใช้งานในอนาคต
 Use Lower Case Extension กำหนดให้นามสกุลของไฟล์เป็นตัวอักษรพิมพ์เล็กเท่านั้น ซึ่ง ออปชั่นนี้จะถูกกำหนดไว้ให้อัตโนมัติ

การจัดเก็บไฟล์ประเภท BMP
เป็นไฟล์มาตรฐานของระบบปฏิบัติการโปรแกรม Windows ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้งานกับระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ได้ แต่มีความละเอียดอยู่ในมาตรฐานที่ดี มีความคมชัดสูงจึงทำให้มีขนาดไฟล์ที่ใหญ่มาก ซึ่งมีรายละเอียดการปรับแต่งในการบันทึก ดังนี้
File Format กำหนดว่าจะจัดเก็บไฟล์รูปภาพ สำหรับระบบปฏิบัติการใดระหว่าง Windows หรือ OS/2
Depth กำหนดความลึกของสี ซึ่งขึ้นกับโหมดของรูปภาพ เช่น โหมด RGB สามารถกำหนดความละเอียดของ Bit ได้ตั้งแต่ 16 bit , 24 bit และ 32 bit
Compress (RLE) กำหนดให้มีการบีบอัดข้อมูลแบบ RLE
Flip row order สลับแถวของการจัดเก็บข้อมูลจากบนลงล่าง ซึ่งโดยปกติแล้วค่าออปชั่น นี้จะไม่ถูกกำหนด เนื่องจากโปรแกรมอาจเปิดไฟล์ประเภทนี้ไม่ได้

การจัดเก็บไฟล์ประเภท TIFF
เป็นไฟล์ที่สามารถใช้ได้ทั้งเครื่อง PC และ Macintosh มีความละเอียดสูง ในขณะเดียวกันก็มีขนาดของไฟล์ที่ใหญ่สามารถนำไปใช้งานเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ร่วมกับโปรแกรมประเภทจัดการสิ่งพิมพ์ เช่นโปรแกรม PageMaker ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีรายละเอียดการปรับแต่งในการบันทึก ดังนี้
Image Compression เลือกวิธีบีบอัดข้อมูลโดยแบบ LZW และ ZIP จะไม่เกิดความเสียหาย ของข้อมูลภาพ แต่อาจทำให้ขนาดของไฟล์นั้นใหญ่ขึ้น สำหรับ JPEG ทำให้คุณภาพของไฟล์รูปภาพน้อยลง แต่สามารถกำหนดขนาดของไฟล์ ให้มีขนาดเล็กลงได้ ซึ่งค่าปกติจะอยู่ที่ออปชั่น None
Byte Order เลือกวิธีจัดเก็บข้อมูล ซึ่งขึ้นกับว่าจะนำรูปภาพไปใช้บนเครื่อง คอมพิวเตอร์แบบ PC หรือเครื่อง Macintosh
Save Image Pyramid จัดเก็บรูปภาพโดยรักษาความละเอียดของภาพไว้ด้วย
Save Transparency กำหนดให้บันทึกรูปภาพแบบโปร่งใสและแชลแนลพิเศษเพื่อ นำไปใช้ในโปรแกรมอื่นๆ ได้ (โดยเฉพาะงานออกแบบทางกราฟิกและ Animation)
Layer Compression เลือกวิธีการบีบอัดสำหรับข้อมูลส่วนที่อยู่ในเลเยอร์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เลเยอร์ Background แต่หากเลือกเป็นแบบ Discard Layers and Save a Copy จะทำให้ทุกเลเยอร์ผนึกรวมกันเป็นเลเยอร์ Background

การจัดเก็บไฟล์ประเภท JPEG
ไฟล์ประเภท JPEG เป็นไฟล์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะมีขนาดเล็กง่ายต่อการบีบอัดข้อมูลสามารถสร้างขึ้นได้จากโปรแกรมกราฟฟิกทั่ว ๆ ไป อีกทั้งนิยมนำไปใช้ออกแบบหน้าเว็บเพจ ซึ่งมีรายละเอียดการปรับแต่งในการบันทึก ดังนี้ Image Options กำหนดคุณภาพของไฟล์รูปภาพจากค่าออปชั่น Quality ซึ่งจะส่งผลให้ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นหรือเล็กด้วย

การปรับรายละเอียดรูปภาพ
ขนาดและรายละเอียดของรูปภาพที่อธิบายในหัวข้อนี้ คือการปรับความคมชัดจากจำนวนค่า Pixel และค่า Resolution ตลอดจนขนาดของพื้นที่รูปภาพบนกระดานออกแบบ (Document Size) ซึ่งประกอบด้วยความกว้าง (Width) และความสูง (Height)
1. คลิกเมาส์เลือกคำสั่ง Image เลือก Image Size จะปรากฏไดอะล็อกซ์บล็อกซ์ ของการปรับขนาดดังรูป

2. กำหนดค่าออปชั่นในส่วนของ Document Size ใหม่ซึ่งประกอบด้วย
 Width กำหนดขนาดความกว้างของขนาดรูปภาพและกระดานออกแบบตามหน่วยที่กำหนด
 Height กำหนดขนาดความสูงของขนาดรูปภาพและกระดานออกแบบตามหน่วยที่กำหนด
 Resolution กำหนดความละเอียดของรูปภาพใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ขนาดของรูปใหญ่หรือเล็กตามไปด้วย

การปรับขนาดพื้นที่การทำงาน
พื้นที่กระดานออกแบบรูปภาพ (Document Size) นั้นประกอบด้วยความกว้าง (Width) และความสูง (Height) ซึ่งได้จากขั้นตอนของการสร้างกระดานออกแบบขึ้นมาใหม่แต่ในบางครั้งหลังจากที่ได้ออกแบบผลงานจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เกิดความต้องการปรับขนาดพื้นที่ใหม่ก็สามารถทำได้โดยปรับจากค่า Canvas Size ด้วยวิธีการต่อไปนี้
1. คลิกเมนูคำสั่ง File เลือกคำสั่ง Canvas Size หลังจากนั้นจะปรากฏไดอะล็อกซ์บล็อกซ์ Canvas Size

2. กำหนดค่าออปชั่นในส่วนของ New Size ใหม่ โดยการกำหนดขนาดนั้นสามารถอ้างอิงจากขนาดและหน่วยวัดเดิมที่ปรากฏอยู่ทางด้านบนได้ ซึ่งหากขนาดใหม่ที่กำหนดนั้นมีขนาดเล็กกว่าจะส่งผลให้รูปภาพถูกตัดออกเพื่อให้พอดีกับขนาดที่กำหนด แต่ถ้ามีขนาดใหญ่กว่าบริเวณส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมานั้นจะถูกแสดงด้วยค่าสีตามที่กำหนดโดยเลือกจาก Canvas Extension color ดังนี้
 Width กำหนดขนาดความกว้างของขนาดรูปภาพและกระดานออกแบบ ตามหน่วยที่กำหนด
 Height กำหนดขนาดความสูงของขนาดรูปภาพและกระดานออกแบบตามหน่วยที่กำหนด

วิธีอ่านข้อมูลจาก Status Bar
แถบ Status Bar หรือ แถบสถานะ คือแถบแจ้งข้อมูลรายละเอียดของภาพที่เปิดใช้งาน และบอกรายละเอียดของเครื่องมือที่เราเลือกใช้งานอยู่ โดยแถบนี้จะอยู่บริเวณด้านล่างของจอภาพหรือด้านล่างของโปรแกรม
รู้จักพื้นที่การตกแต่งภาพ Image Area
พื้นที่การตกแต่งภาพหรือพื้นที่สำหรับหน้าต่างของภาพที่เราเปิดขึ้นมาใช้งานอยู่ ซึ่งจะอยู่บนแถบชื่อเรื่องของหน้าต่างภาพในแต่ละภาพ โดยจะบอกรายละเอียดของไฟล์ที่เรากำลังทำงานอยู่ ดังรายละเอียด คือ

ในส่วนของแถบชื่อเรื่องของหน้าต่างภาพจะแสดงรายละเอียดคือ

โดยในโปรแกรมผู้เรียนสามารถเปิดไฟล์หลาย ๆ ไฟล์ไว้ใช้งานพร้อมกันได้ โดยไฟล์จะแสดงซ้อนทับหน้าต่างการทำงานกันอยู่ ซึ่งหากเราต้องการใช้ภาพใด หรือต้องการสลับการทำงานระหว่างรูปภาพ ให้เราคลิกเมาส์ที่แถบชื่อเรื่องของภาพที่ต้องการใช้งาน ซึ่งหน้าต่างไฟล์ภาพที่เรากำลังต้องการใช้งานอยู่เราเรียกว่า "Active Image Area" โดยส่วน Active Image Area จะเป็นกรอบหน้าต่างที่สีเข้มกว่าไฟล์ภาพอื่น ๆ


การใช้มุมมองต่าง ๆ ในโปรแกรม
การใช้มุมมองในโปรแกรม Photoshop นั้นคือการกำหนดให้หน้าต่างโปรแกรม Photoshop แสดงผลการทำงานตามความเหมาะสมกับความต้องการเพื่อช่วยให้การสร้างสรรค์ผลงานทำได้ง่ายขึ้น โดยกำหนดจากรูปแบบของมุมมองที่อยู่ภายใน Application Menu ซึ่งมีมุมมองที่ใช้อยู่ 3 มุมมอง คือ

1. มุมมอง Standard Screen Mode ใช้แสดงส่วนประกอบทุกอย่างของโปรแกรม Photoshop ทั้งหมด ซึ่งปกติเมื่อเปิดใช้โปรแกรมครั้งแรกจะเข้าสู่โหมดการทำงานนี้เสมอ เวลาใช้งานให้คลิกเมาส์ที่ไอคอนที่ต้องการใช้งาน หรือต้องการสลับโหมดการทำงาน ในการสลับการทำงานระหว่างมุมมองนอกจากจะใช้ Tool box แล้วยังสามารถใช้แป้นพิมพ์ได้โดยกดปุ่ม F เพื่อสลับมุมมอง

2. มุมมอง Full Screen Mode with Menu Bar มุมมองนี้ใช้แสดงหน้าต่างให้เต็มจอ โดยตัดส่วนที่เป็น Title bar ของโปรแกรมและหน้าต่างรูปภาพออกไป เพื่อให้เห็นรูปภาพในมุมมองที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

3. มุมมอง Full Screen Mode รูปแบบของการแสดงผลของโหมดนี้มีความคล้ายคลึงกับ Full Screen Mode with Menu bar แต่จะตัดส่วนที่เป็นเมนูบาร์ออกไปอีกซึ่งจะทำให้เห็นพื้นที่การทำงานได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งบริเวณพื้นหลังจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสีดำ

การย่อ – ขยายภาพด้วยเครื่องมือ Zoom บน Toolbox
เมื่อเราเปิดภาพขึ้นมาทำการตกแต่งหรือใช้งานในโปรแกรม และต้องการทำงานอย่างละเอียดกับรูปภาพจึงต้องการขยายรูปภาพเพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน หรือต้องการมองภาพรวมของรูปภาพเพื่อให้เห็นรูปภาพทั้งหมด สามารถทำได้ด้วยการย่อหรือขยายขนาดของภาพในโปรแกรมโดยใช้เครื่องมือ Zoom เพื่อปรับขนาดให้เกิดความสะดวกต่อการตกแต่งภาพ มีขั้นตอนการทำงานดังนี้
1. เปิดไฟล์รูปภาพที่ต้องการ ให้คลิกเมาส์ที่ปุ่ม บน Toolbox
2. สังเกตว่าเมื่อนำเมาส์มาวางบนรูปภาพ เมาส์จะเปลี่ยนรูปจากเดิมไปเป็นสัญลักษณ์แว่นขยาย จากนั้นคลิกเมาส์บนรูปภาพ ดังนี้
 คลิกเมาส์ 1 ครั้งบนรูปภาพ เป็นการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น หากต้องการขยายให้ใหญ่อีกให้คลิกเมาส์ที่รูปภาพไปเรื่อย ๆ ภาพจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามต้องการ

 คลิกเมาส์และกดแป้น Alt พร้อม ๆ กัน เป็นการย่อภาพให้เล็กลง หากต้องการให้เล็กลงเรื่อย ๆ ให้กดแป้น Alt ค้างไว้พร้อมคลิกเมาส์ไปเรื่อย ๆ จนได้ขนาดภาพตามต้องการ

เมื่อเราใช้คำสั่ง Zoom Tool บน Tool box จะปรากฏแถบคำสั่งของเครื่องมือ Zoom Tool ใน Option bar ดังรายละเอียดคือ

Resize Windows To Fit กำหนดให้ปรับขนาดของหน้าต่างโปรแกรม เพื่อให้พอดีกับขนาดของภาพที่ซูม
Zoom All Windows กำหนดให้ซูมหน้าต่างวินโดวส์ทั้งหมด
Actual Pixels กำหนดให้แสดงภาพเท่าขนาดจริง
Fit Screen กำหนดให้ภาพมีขนาดพอดีกับพื้นที่ทำงาน
Print Size กำหนดให้แสดงขนาดเท่ากับการพิมพ์รูปภาพทางเครื่องพิมพ์
การเจาะจงตำแหน่งที่ต้องการย่อหรือขยายภาพ
การเจาะจงตำแหน่งเพื่อย่อหรือขยายภาพ ทำได้โดยการใช้เครื่องมือ Zoom โดยให้เลือกรูปภาพตามที่ต้องการ จากนั้นให้คลิกเลือก Zoom Tool บน Toolbox จากนั้นคลิกเมาส์แล้วลากบริเวณที่ต้องการย่อ หรือ ขยาย แล้วปล่อยเมาส์ จะปรากฏบริเวณของภาพที่ทำการเลือกย่อส่วนหรือขยายใหญ่ตามต้องการ



สามารถเปิดรูปภาพพร้อมกันหลายๆ ไฟล์ได้ แต่จะทำงานได้เพียงครั้งละ 1 ไฟล์เท่านั้น ซึ่งเรียกว่าเป็นไฟล์ (หรือวินโดว์) ที่ "แอคทีฟ" (active) โดยไตเติลบาร์ของไฟล์ดังกล่าวจะเป็นสีที่สว่างขึ้น ส่วนไฟล์ที่เหลือไตเติลบาร์จะเป็นสีเข้ม ใน Photoshop CS5 มีคำสั่งให้ใช้จัดเรียงวินโดว์ภาพได้หลายแบบ ทำให้มองเห็นและเลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยคลิกที่ปุ่ม Arrange Documents ดังตัวอย่างได้เลือกให้จัดเรียงภาพแบบ 3 Up ดังภาพ

การจัดเรียงแบบอื่นๆ มีดังนี้
 Float All in windows แสดงภาพแยกเป็นแต่ละวินโดว์
 New Window แสดงภาพในวินโดว์ใหม่ ในจอภาพที่สอง (สองจอภาพ)
 Actual Pixels แสดงขนาดจริงของภาพ
 Fit On Screen แสดงภาพให้พอดีหน้าวินโดว์

 Match Zoom ให้ซูมภาพทุกวินโดว์เท่ากันกับวินโดว์ที่แอคทีฟ (ที่เลือก)
 Match Location ให้แสดงภาพตรงตำแหน่งเดียวกันทุกวินโดว์
 Match Zoom and Location ซูมและแสดงภาพให้ตรงตำแหน่งเดียวกันกับวิโดว์ที่เลือกเป็นต้นแบบ

รูปภาพบางภาพที่มีขนาดใหญ่ หรือ เกิดจากการปรับขนาดด้วยเครื่องมือ Zoom จะไม่สามารถดูภาพได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ Hand Tool เพื่อเลื่อนดูภาพในบริเวณที่ต้องการได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิกเมาส์เพื่อเลือก Hand Tool บน Tool Box
2. นำเมาส์ไปวางบริเวณของภาพที่ต้องการเลื่อนดู สังเกตว่าเมาส์จะเปลี่ยนเป็นรูปมือ จากนั้นลากเมาส์ขึ้นลงเพื่อเลื่อนดูภาพตามที่ต้องการ
เมื่อเราใช้คำสั่ง Hand Tool บน Tool box จะปรากฏแถบคำสั่งของเครื่องมือ Hand Tool ใน Option bar ดังรายละเอียดคือ

 Actual Pixels กำหนดให้แสดงภาพเท่าขนาดจริง
 Fit Screen กำหนดให้ภาพมีขนาดพอดีกับพื้นที่ทำงาน
 Print Size กำหนดให้แสดงขนาดเท่ากับการพิมพ์รูปภาพทางเครื่องพิมพ์

Navigator Panel จัดเป็น Panel ประเภทหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ในการเลื่อนดูภาพ หรือ เลื่อนดูตำแหน่งของรูปภาพในบริเวณอื่น ๆ โดยที่คุณจะต้องเรียกใช้ Navigator Panel ขึ้นมาใช้งาน ด้วยวิธีการคลิกเมนูคำสั่ง Window เลือกคำสั่ง Navigator ให้มีเครื่องหมาย
โดยในโปรแกรม Photoshop หากเราเปิดภาพขึ้นมาใช้งาน จะปรากฏภาพขนาดย่ออยู่บน Navigator Panel โดยจะมีกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงคลุมรูปภาพ ซึ่งกรอบสี่เหลี่ยมจะเป็นขนาดย่อของรูปภาพที่มีขนาด 100 % ซึ่งเราสามารถเลื่อนกรอบสี่เหลี่ยมไปยังตำแหน่งของรูปภาพที่ต้องการแสดงได้ กรณีที่ภาพมีขนาดใหญ่เกินกว่า 100 % ภาพในบริเวณที่ต้องการเลื่อนก็จะปรากฏบนหน้าต่างภาพ



ไม้บรรทัดเป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ทำให้เราสามารถกำหนดตำแหน่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและแม่นยำขึ้น โดยปกติที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จะไม่มีไม้บรรทัดขึ้นมาให้เห็น ผู้เรียนต้องเรียกใช้จากเมนูคำสั่ง View เลือกคำสั่ง Rulers ซึ่งหากเราเลือกใช้คำสั่งเปิดไม้บรรทัดแล้วจะปรากฏเครื่องหมาย หน้าคำสั่งหรือสามารถกดแป้นพิมพ์ Ctrl + R ซึ่งจะปรากฏไม้บรรทัดขึ้นมาให้ที่หน้าต่างภาพทั้งด้านบน และ ด้านซ้ายของรูปภาพที่เราเลือกทำงานอยู่

เมื่อเราเรียกใช้ไม้บรรทัดของหน้าต่างภาพแล้ว เราสามารถที่จะเปลี่ยนหน่วยวัดไม้บรรทัดเป็นหน่วยอื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยให้ผู้เรียนคลิกขวาที่ไม้บรรทัดจะปรากฏกรอบคำสั่งของหน่วยวัดไม้บรรทัดรูปแบบต่าง ๆ จากนั้นให้คลิกเลือกหน่วยวัดไม้บรรทัดตามความต้องการ เช่น Inches, Centimeters, Millimeters

หรือไปที่คำสั่ง Edit เลือก Preferences เลือกคำสั่ง Units & Rulers จะปรากฏไดอะล็อกซ์บล็อกซ์ของการปรับเปลี่ยน ในหัวข้อ Units >> Rulers : เลือกรูปแบบของหน่วยวัดที่ต้องการ แล้วคลิกปุ่ม OK ก็จะสามารถปรับเปลี่ยนหน่วยวัดได้เช่นเดียวกัน

ในส่วนของการใช้ไม้บรรทัดจะมีตำแหน่งที่สำคัญในการใช้ก็คือ ตำแหน่งศูนย์ หมายถึง ตำแหน่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของระยะการวัดที่ 0 ของไม้บรรทัดทั้งด้านบนและด้านซ้าย โดยตำแหน่งจะอยู่ตำแหน่งแรกของไม้บรรทัดทั้งสองด้านเป็นรูป ซึ่งตำแหน่งศูนย์นี้เราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้เริ่มต้นบริเวณไหนตรงรูปภาพ โดยเราคลิกที่ตำแหน่งศูนย์ ตรงไม้บรรทัดแล้วลากไปยังตำแหน่งใด ๆ ของรูปภาพที่ต้องการเป็นจุดเริ่มต้นของตำแหน่งศูนย์ บริเวณของภาพที่ต้องการนั้นจะเริ่มต้นระยะการวัดที่ 0 ทันทีทั้งสองด้าน หากต้องการให้ตำแหน่งศูนย์กลับไปยังจุดเดิมใหม่ ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ตำแหน่งศูนย์ หน่วยการวัดก็จะเป็นเหมือนตอนครั้งแรกที่เรียกใช้ไม้บรรทัด


เส้นไกด์ (Guide)
ในไม้บรรทัดมีเส้นอยู่ในไม้บรรทัด เราเรียกว่า เส้นไกด์ Guide ซึ่งเส้นไกด์นี้จะใช้ร่วมกับไม้บรรทัดเสมอ ก่อนที่จะใช้เส้นไกด์เราจำเป็นจะต้องเรียกใช้ไม้บรรทัดเสียก่อน ซึ่งเส้นไกด์นี้จะช่วยในการกะระยะและตำแหน่งที่เราต้องการจัดวางได้อย่างแม่นยำ และง่ายต่อการทำงาน ซึ่งเส้นไกด์นี้จะเป็นเส้นสีฟ้าที่อยู่ในไม้บรรทัด โดยวิธีการใช้งาน คือ ใช้เมาส์คลิกที่ไม้บรรทัดด้านใดก็ได้ แล้วลากเมาส์ออกมาจากไม้บรรทัด จะเห็นว่าที่ปลายเมาส์จะมีเส้นสีฟ้านั่นคือเส้นไกด์ติดมาด้วย จากนั้นปล่อยเมาส์ที่บริเวณที่ต้องการวางเส้นไกด์ จะปรากฏเส้นไกด์บริเวณของภาพนั้น ซึ่งเราสามารถใช้เส้นไกด์นี้ช่วยในการจัดตำแหน่งทั้งแนวตั้งและแนวนอน

นอกจากนี้เรายังสามารถสร้างเส้นไกด์แบบอัตโนมัติจากการใช้คำสั่งโดยไปที่คำสั่ง View เลือกคำสั่ง New Guide จะปรากฏไดอะล็อกซ์บล็อกซ์ของการสร้างเส้นไกด์ ให้กำหนดดังนี้
- Orientation การวางตำแหน่งของเส้นไกด์
- Horizontal การวางเส้นไกด์ในแนวนอน
- Vertical การวางเส้นไกด์ในแนวตั้ง
- Position ระยะที่วางบนไม้บรรทัดของเส้นไกด์ (เป็นหน่วยวัด) ซึ่งหน่วยวัดจะเป็นหน่วยเดียวกันกับไม้บรรทัด

การกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ของเส้นไกด์ สามารถทำได้โดย
การเคลื่อนย้ายและการเก็บเส้นไกด์ เราสามารถจะเก็บเส้นไกด์ที่ไม่ต้องการ โดยเลือกเครื่องมือ Move Tool บน Toolbox จากนั้นนำเมาส์ไปวางที่เส้น โดยเมาส์จะเปลี่ยนเป็นรูปลูกศร ให้คลิกเมาส์ที่เส้นไกด์แล้วลากไปยังตำแหน่งที่ต้องการ หากต้องการเก็บหรือลบเส้นไกด์ออกจากหน้าจอให้ลากออกนอกพื้นที่ของรูปภาพ หรือต้องการลบเส้นไกด์ทั้งหมดให้ใช้เมนูคำสั่ง View เลือกคำสั่ง Clear Guides
การซ่อนเส้นไกด์ ในขณะที่เราทำงานกับเส้นไกด์ และต้องการที่จะซ่อนเส้นไกด์เพื่อจะดูภาพแบบเต็ม ๆ โดยไม่มีเส้นไกด์มารบกวน เราสามารถที่จะซ่อนเส้นไกด์นี้ได้โดยไม่ต้องลบทิ้ง ให้ใช้เมนูคำสั่ง View เลือกคำสั่ง Show เลือกคำสั่ง Guides โดยคลิกให้มีเครื่องหมาย หน้าคำสั่งแสดงเปิดการใช้งาน แต่ถ้าต้องการซ่อนให้คลิกเมาส์ทีคำสั่งอีกครั้งเพื่อซ่อนเส้นไกด์ โดยเครื่องหมาย จะหายไปจากคำสั่ง
การล็อคเส้นไกด์ ในขณะที่เราทำงานของเส้นไกด์ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีการเคลื่อนย้ายออบเจ็คต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นไกด์นี้เคลื่อนย้ายในตำแหน่งที่เรากำหนดไว้ เราสามารถที่จะใช้คำสั่งเพื่อให้เส้นไกด์นี้อยู่กับที่หรือเป็นการล็อคเส้นไกด์นี้ได้โดย ใช้เมนูคำสั่ง View เลือกคำสั่ง Lock Guides โดยคลิกให้มีเครื่องหมาย หน้าคำสั่งแสดงว่าเปิดการใช้งาน แต่ถ้าต้องการยกเลิกการล็อคคลิกเมาส์ทีคำสั่งอีกครั้งเพื่อยกเลิกการล็อคเส้นไกด์ โดยเครื่องหมาย จะหายไปจากคำสั่ง
การ Snap การ Snap คือ การที่สั่งให้เส้นไกด์ทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กคอยดูดวัตถุต่าง ๆ ให้ติดกับเส้น เมื่อเราใช้คำสั่งการ Snap แล้วและได้วางวัตถุใดลงไปวัตถุนั้นจะถูกวางติดกับเส้นไกด์เสมอ ใช้เมนูคำสั่ง View เลือกคำสั่ง Snap To เลือกคำสั่ง Guide โดยคลิกให้มีเครื่องหมาย หน้าคำสั่งแสดงว่าเปิดการใช้งาน แต่ถ้าต้องการยกเลิกการใช้คำสั่งให้คลิกเมาส์ที่คำสั่งอีกครั้ง
เส้นกริด (Grid)
เส้นกริด Grid คือ ตารางที่มีระยะห่างของช่องเท่ากันทุกช่อง ที่ช่วยในการจัดวางวัตถุให้ง่ายขึ้น สามารถทำได้โดยไปที่เมนู View เลือกคำสั่ง Show เลือกคำสั่ง Grid จะปรากฏเส้นกริดบนรูปภาพเพื่อช่วยในการจัดวางวัตถุ และวัดระยะได้อย่างแม่นยำ

ถ้าหากต้องการยกเลิกการเรียกใช้เส้นกริดให้ใช้คำสั่งเดิมอีกครั้ง เส้นกริดที่อยู่บนภาพจะถูกยกเลิกการใช้งานไป และถ้าเราต้องการปรับเปลี่ยนเส้นกริดรวมถึงเส้นไกด์ก็สามารถทำได้โดยเลือกเมนู Edit เลือกคำสั่ง Preferences เลือกคำสั่ง Guides , Grid & Slices จะปรากฏไดอะล็อกซ์บล็อกซ์ของคำสั่งให้ปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ดังนี้

 - Color ใช้กำหนดสีเส้นไกด์หรือเส้นกริด
 - Style ใช้กำหนดลักษณะเส้น
 - Gridline Every ใช้กำหนดระยะห่างของเส้นกริด
 - Subdivisions ใช้กำหนดจำนวนเส้นกริด

History คือ พาเนลที่ใช้สำหรับการบันทึกการทำงานไว้ทุกขั้นตอน เพื่อใช้ในการย้อนกลับไปแก้ไข หรือ เพิ่มเติมในส่วนที่ทำไปแล้ว คล้าย ๆ กับคำสั่ง Edit >> Undo แต่ในพาเนล History นี้มีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าก็คือสามารถย้อนกลับไปได้ทุกขั้นตอนที่มีการใช้คำสั่งต่าง ๆ ซึ่งคำสั่ง Undo จะสามารถย้อนกลับได้แค่ครั้งเดียว โดยที่พาเนล History จะอยู่ในคำสั่ง Window ซึ่งเราสามารถเรียกขึ้นมาใช้งานได้ในกรณีที่เปิดโปรแกรมแล้วยังไม่พบพาเนล History อยู่บนโปรแกรม โดยคลิกเมาส์หน้าคำสั่ง History ซึ่งจะปรากฏพาเนลอยู่บนโปรแกรม

ขั้นตอนการใช้พาเนล History
1. เปิดไฟล์ภาพขึ้นมา โดยในพาเนล History จะปรากฏภาพตัวอย่างและบอกชื่อไฟล์รูปภาพที่เรา ทำงานอยู่
2. ด้านล่างของพาเนล History จะปรากฏขั้นตอนของการทำงานในโปรแกรม Photoshop เป็นลำดับขั้น โดยตัวอย่างเราจะพิมพ์ข้อความเพิ่มเติมบนรูปภาพจากนั้น ทำการย่อข้อความและทำการย้ายข้อความให้อยู่ในตำแหน่งที่สวยงาม ซึ่งพาเนล History จะบันทึกขั้นตอนการทำงานนี้ไว้ด้านล่างของพาเนล

หากต้องการย้อนกลับการกระทำขั้นตอนใดให้คลิกเมาส์ที่ปุ่มสามเหลี่ยมหน้าขั้นตอนการทำงานแล้วลากเมาส์ขึ้นไป โปรแกรมจะทำการยกเลิกการทำงานในขั้นตอนนั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ตามเมาส์ที่เราลากขึ้นไป โดยขั้นตอนที่ถูกยกเลิกจะเป็นตัวหนังสือสีจาง ซึ่งโปรแกรมสามารถจะเก็บขั้นตอนต่าง ๆ นี้ได้ทั้งหมด 20 ขั้นตอน เมื่อมีขั้นตอนใหม่คือขั้นตอนที่ 21 ขั้นตอนที่ 1 ก็จะหายไป



|